วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยิ่ิ่งลักษณ์...ผู้หญิงเก่งแห่งยุค!!!

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร........ผู้หญิงเก่งแห่งยุค

...กับบทบาทนักบริหารธุรกิจหมื่นล้านและหน้าที่คุณแม่คนสวย
ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้หญิงที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในขณะนี้
อีกทั้งยังได้รับการกล่าวว่า....

 
….เธอคือว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"หรือ"คุณปู"
เธอเป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวน9คน ของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร
(ธิดาในเจ้าหญิงจันทร์ทิพย์(ณ เชียงใหม่) ระมิงค์วงศ์)
และยังเป็นน้องสาวคนเล็กของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี


…..คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2510 ...ปัจจุบัน ขาดเพียง30วันก็ครบ 44 ปีพอดี จบการศึกษาปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2531 และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2533 จากนั้นได้เข้าทำงานที่ บริษัทชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ด้วยการเป็น"เซลส์วูเม่น"ขายโฆษณาเยลโล่เพจเจส สมุดหน้าเหลือง ก่อนจะก้าวใหญ่นั่งแท่นคุม AIS ตาม SC ASSET รวมถึงดูแลไทยคม ในฐานะกรรมการและเลขาฯมูลนิธิ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัดหรือ AIS เมื่อ พ.ศ.2545
Working Woman….
ความสามารถในการบริหารธุรกิจใหญ่ของครอบครัว หลายคนมองว่าคุณยิ่งลักษณ์ต้องจบด้านบริหารมาโดยตรง  แต่แท้จริงแล้วพบว่าจบคณะรัฐศาสตร์(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ต่างหากที่เป็นสาขาเน้น บริหารรัฐกิจ บริหารบุคคล เน้นปกครอง โดยมีความฝันแรกเริ่มเดิมที่ว่าอยากเป็นฑูต แต่เนื่องด้วยทางครอบครัวอยากให้ทำงานภายในประเทศไทย จึงลงเอยด้วยการมาช่วยธุรกิจของครอบครัว ชินวัตร

…ถ้าเอ่ยถึงการทำงานด้านธุรกิจ คุณยิ่งลักษณ์เคยย้ำปรัชญาในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ต้องเป็นบริษัทมืออาชีพ โปร่งใส ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างลงตัวเพื่อให้ได้ตามประสงค์ อย่างที่ลูกค้าต้องการ
ส่วนแผนธุรกิจของSC ASSET ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจอสังหารริมทรัพย์ที่เข้มข้น ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในคราวนั้น

 
SC ASSETก็สานต่อแผนที่มีความโดดเด่นมาโดยตลอดด้วยจุดขาย บ้านไฮเทค ที่เป็นที่รู้จักกันว่า..i-home ได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในธรุกิจอสังหาริมทรัพย์หรือConvergenceเช่นการประหยัดพลังงานการออกแบบและความปลอดภัย เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ได้ใช้ระบบ CRM หรือระบบการดูแล และรู้จักลูกค้า
มอบความรักผ่านดินเนอร์หรู “The Exclusive Night for SC Family”
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยผู้บริหาร
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม
 “The Exclusive Night for SC Family”
แทนการสร้างสรรค์และใส่ใจภายใต้สโลแกน คิดด้วยรัก ดีไซน์เพื่ออนาคต
มอบให้กับลูกบ้านโครงการหรู ภายใต้แบรนด์ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด
ร่วมดินเนอร์ในค่ำคืนพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ

แม้ว่าบริษัทอาจจะมีการพาดพิงไปเกี่ยวกับการเมืองอยู่บ้าง
แต่คุณยิ่งลักษณ์ก็ตั้งมั่นในเจตนารมณ์ที่จะให้บริการลูกค้า
และดำเนินการผ่านไปได้

….ซึ่งจากความสามารถของ.................."ผู้หญิงแกร่งคนนี้เอง"
...เธอสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้นผลงานเท่านั้นที่เป็นข้อพิสูจน์ว่า........."คุณยิ่งลักษณ์เป็นมืออาชีพ"
ไม่ใช่เพียงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น

ธุรกิจเทเลคอม
คุณยิ่งลักษณ์ได้กล่าวว่า แม้จะแตกต่างแต่เรื่องแนวคิดการจัดการนั้นเหมือนกัน
ต่างกันคือข้อมูลพื้นฐานหรือวิธีการ





เรื่องและภาพโดย: หัตถา

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"ทักษิณ"เปิดใจสื่อออสซี่ "ยิ่งลักษณ์"ไม่ได้เป็น"หุ่นเชิด"ทางการเมือง

พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวปฏิเสธว่าเขาต้องการขึ้นเป็นผู้นำอีกครั้ง และยืนยันว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของเขา ไม่ได้อยู่ในฐานะ "หุ่นเชิดทางการเมือง"


พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักของเขาในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แก่สถานีโทรทัศน์เอบีซีของออสเตรเลีย ในรายการ  "Lateline" ซึ่งแพร่ภาพเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เขามั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้


"ตามโพลของหลายสำนัก ซึ่งรวมถึงรายงานของรัฐบาลรักษาการณ์ เรามั่นใจว่าเราจะเป็นผู้ชนะ"


ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์เอง แทบไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ขณะที่คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่าการได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเธอนั้น เท่ากับเป็นการยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงมีบทบาททางการเมืองแม้ว่าจะลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศก็ตาม


พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชั้นแรงงานหรือคนที่มีฐานะยากจนจากนโยบายประชานิยมของเขา ขณะที่ประชาชนที่มีฐานะหรือบุคคลชั้นสูง มองว่าเขาทุจริตคอร์รัปชันและเป็นผู้นำแบบอำนาจนิยม แต่ก็ยอมรับว่าเขายังคงมีอิทธิพลอยู่มาก


พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวยอมรับว่าเขาอาจมีอิทธิพลด้านแนวคิดและความคิดอยู่บ้าง ทั้งนี้เนื่องจากเขามีประสบการณ์การทำงานมากกว่าคนอื่นๆ และเขาเองก็อยากให้คนอื่นๆประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงอยากร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และประสบการณ์ในการเดินทางไปทั่วโลก ทั้งนี้เขาปฏิเสธว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของเขา แต่กล่าวว่าเธอเป็น"โคลนนิ่ง"ของเขา
"ใช่ เธอเป็นน้องสาวคนเล็กของผม เธอทำงานกับผมมาตั้งแต่แรก ดังนั้นผมจึงสอนเธอ ฝึกเธอ จึงไม่แปลกที่รูปแบบการทำงานของเธอจะคล้ายผม"


เขากล่าวว่า "โคลนนิ่ง" ในความหมายของเขาคือ "การมีวัฒนธรรมเดียวกัน พื้นฐานเดียวกัน ความคิดเดียวกัน ทัศนคติเดียวกัน และคิดเช่นเดียวกัน"


ขณะที่เป็นที่เข้าใจกันว่าสิ่งสำคัญลำดับแรกที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำคือการนิรโทษกรรมนักการเมือง แต่พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการล้างมลทินหรือข้อด่างพร้อยใดๆในอดีตของเขา เพื่อที่จะกลับมาสู่วงการเมืองอีกครั้ง


"การสร้างความปรองดองเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำ ไม่ใช่การนิรโทษกรรม การนิรโทษกรรมอาจเป็นส่วนหนึ่งของการปรองดองแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด"


เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ตามกระบวนการปฏิบัติ ตัวเขาถือเป็นส่วนหนึ่งในการนำความเป็นเอกภาพมาสู่ประเทศ จริงอยู่ว่าเขาอาจได้รับผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่กังวลมากนัก เนื่องจากเขาอยู่นอกระบบการเมืองมานานแล้ว


พ.ต.ท.ทักษิณเปิดเผยว่า เขาต้องการกลับประเทศไทยก่อนช่วงสิ้นปีนี้ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนม์พรรษาครบ 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ โดยกล่าวปฏิเสธคำกล่าวที่ว่าจุดมุ่งหมายหลักของเขาคือการกลับมาปกครองประเทศอีกครั้ง


"น้องสาวของผมอยู่ที่นั่น ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นนายกฯอีก"
อดีตนายกฯ กล่าวและยืนยันว่าเขาต้องการกลับไปสอนหนังสือและเล่นกอล์ฟเท่านั้น

คนไทยเป็น 5 โรคเรื้อรังพุ่ง เสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต 10 ล้านคน

เพราะวิถีการดำเนินชีวิตขาดความสมดุล สิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัย มีปัจจัยเสี่ยงสารพัดที่กระทบต่อสุขภาพ เช่นอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารจานด่วนประเภททอด ปิ้ง ย่าง หนักไปทางเนื้อกับไขมัน อาหารรสจัดๆ โดยเฉพาะหวานมากและเค็มจัด ไม่รับประทาน ผักผลไม้ มีความสะดวกสบายเกินไปจะใช้อะไรก็แค่ปลายนิ้วสัมผัส ร่างกายแทบไม่ต้องขยับ ที่สำคัญมีความเครียดสูง แถมดื่มเหล้าสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีการรณรงค์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนเรามีปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมากขึ้น และส่งผลให้กลายเป็น “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” หรือที่เรียกว่า “โรควิถีชีวิต” แพร่ระบาดไปทั่ว และทั้งที่โรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับเข้าขั้นวิกฤต


องค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี 2548 ในจำนวนการตายของประชากรโลกทั้งหมดประมาณ 58 ล้านคน มีถึงร้อยละ 60 ที่ตายจากโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรค คือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น


2 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน 3.5 ล้านคน แต่มีถึง 1.1 ล้านคนที่ไม่รู้ว่าตนเองป่วย ที่น่าห่วงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้ป่วยเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสูงกว่าคนปกติถึง 2-4 เท่า และมากกว่าครึ่งมีความผิดปกติของระบบประสาท และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย เกิดภาวะแทรกซ้อนทางตา เท้า  และไต


ในรายที่เป็นไม่มากผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ในรายที่เป็นมาก (ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 มก./ดล.) จะมีอาการให้สังเกตได้คือ ปัสสาวะบ่อยและมาก หิวและกระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลียไม่มีแรง บางคนปัสสาวะแล้วมีมดขึ้น อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าถึงขั้นน่าเป็นห่วง


ต่อมาก็เป็น โรคความดันโลหิตสูง ในช่วงปีเดียวกันนั้นมีคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปเป็นโรคนี้สูงมากถึง 10.8 ล้านคน โดย 5.4 ล้านคนที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอยู่


ความร้ายแรงแบบโดมิโนของโรคความดันโลหิตสูง อยู่ตรงที่คนที่เป็นโรคนี้มักมีคอเรสเตอรอลสูงกว่าคนปกติ 6-7 เท่า เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และร้อยละ 25 ตามลำดับ และมีโอกาสเสียชีวิตจากหัวใจวายถึงร้อยละ 60-75 หลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตันร้อยละ 20-30 ไตวายร้อยละ 5-10 และมีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า


คนเป็นโรคความดันโลหิตสูงระยะแรกจะไม่แสดงอาการ แต่ก็เป็น “เพชรฆาตเงียบ” ที่สร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อหลอดเลือดและอวัยวะอื่นๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษาจะเกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต ทำให้หลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตก จนเกิดเป็นอัมพาต และอาจทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายตามมา รวมทั้งเกิดโรคไตวายเรื้อรัง


สำหรับ โรคหัวใจ 2 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ย 50 คนต่อวัน หรือชั่วโมงละ 2 คน และเจ็บป่วยนับเฉพาะที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในมีมากเฉลี่ยถึง 1,185 รายต่อวัน  โรคหัวใจที่พบได้มากมีทั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจวาย และอื่นๆ และนับวันก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ผลการสำรวจพฤติกรรมคนไทยล่าสุดพบว่า คนไทยมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงถึงร้อยละ 86 เพราะความนิยมบริโภคอาหารไขมันสูง ทำให้มีไขมันสะสมในเส้นเลือดแดง ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดตีบตามมา จนมีคนไทยจำนวนมากที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร


โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นอีกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีแนวโน้มการเกิดผู้ป่วยที่สูงขึ้นมาก


โรคหลอดเลือดสมองแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โรคหลอดเลือดสมองแตก และโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน เฉพาะปี 2550 มีคนไทยอายุ 15-74 ปี ที่ป่วยด้วยโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนคน คาดว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 150,000 ราย 


ทุกวันนี้มีคนไทยที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้อย่างไม่รู้ตัวอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ยิ่งเป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูงยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3-17 เท่าตัว เป็นโรคเบาหวานเสี่ยงเพิ่ม 2 เท่า ภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูงเสี่ยงเพิ่ม 1.5 เท่า และหากมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าหนึ่งปัจจัย โอกาสเกิดโรคนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีก โดยเฉพาะ โรคหัวใจขาดเลือด โรคสมองเสื่อม โรคหลอดลมอุดตันเรื้อรัง และมะเร็ง


โรคนี้ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อายุ เชื้อชาติ ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การสูบบุหรี่-ดื่มสุรา


คนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่อายุ 45 ปีขึ้นไป หากมีอาการแขนขาชาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือฟังไม่เข้าใจ เดินเซ เวียนศีรษะเฉียบพลัน ตามองเห็นภาพซ้อน หรือมองมืดมัวข้างใดข้างหนึ่ง ต้องรีบไปพบแพทย์ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะนี่คือสัญญาณเตือนของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต


ด้านการรักษาปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดี การป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยลดปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือด ความเครียด งดสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์


โรคมะเร็ง สาเหตุการตายอันดับ 1 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2551 ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราว 120,000 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในช่วง 10 ปี


มะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกคือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และน่าสังเกตว่า ผู้หญิงเป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มพบมากในสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป และพบสูงสุดในกลุ่มอายุ 45 ปี เกือบร้อยละ 50 อยู่ในระยะที่มีการกระจายในต่อมน้ำเหลืองแล้ว


 มะเร็งระยะแรกๆ มักไม่ปรากฏอาการ จนเมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการเฉพาะ ซึ่งขึ้นกับชนิดของโรคมะเร็งที่เป็น แต่โดยรวมแล้วอาการที่พบทั่วไปในมะเร็งทุกชนิด ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด หน้ามืดเป็นลม ใจหวิว เป็นต้น


สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อาหารไขมันสูง อาหารเค็มจัด-หวานจัด อาหารปิ้งย่างเผาเกรียม สารเคมีในผัก-ผลไม้และสารที่ใช้ในการถนอมอาหาร อาหารที่มีสารเจือปนผสมสีสังเคราะห์ สารอะฟาทอกซิน การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ การสัมผัสแสงแดดจัดเป็นประจำ การได้รับเชื้อไวรัส การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และอื่นๆ มีเพียงส่วนน้อยที่มาจากความผิดปกติในร่างกายหรือพันธุกรรม


หันมาดูตัวเองแล้ว หากใครจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ก็ควรหมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง เพราะการตรวจพบระยะแรก โอกาสรักษาให้หายขาดจะมีมากขึ้น


การรู้เท่าทันโรคภัยพร้อมกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่พฤติกรรมใหม่ที่เป็นผลดีต่อสุขภาพ จะเป็นวิถีทางสู่การ “ลดทุกข์ สุขเพิ่ม” เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ความเสี่ยงของผู้ประกันตน

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
ระบบประกันสังคมในประเทศต่างๆ ถือกำเนิดมาเพื่อจัดการความเสี่ยงให้กับลูกจ้างหรือผู้มีงานทำทั้งหลาย ความเสี่ยงที่ว่านี้ประกอบด้วย ความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ มีบุตร เป็นหม้าย ว่างงาน ชราภาพ และการสูญเสียชีวิต แต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของความครอบคลุมของความเสี่ยง วิธีการหาเงิน จ่ายเงิน และบริหารจัดการ


ระบบประกันสังคมของไทยก็เช่นเดียวกัน ถือกำเนิดมาเพื่อช่วยลูกจ้างจัดการกับความเสี่ยงโดยตกลงว่าจะให้ความคุ้มครองหรือให้สวัสดิการ 7 ประเภทคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร เสียชีวิต ว่างงาน สงเคราะห์บุตร และชราภาพ โดยเงินที่นำมาใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการเหล่านี้มาจาก 3 ฝ่ายคือ ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล ในปัจจุบันลูกจ้างและนายจ้างสมทบเงินฝ่ายละ 5% ของเงินเดือนที่ไม่เกิน 15,000 บาท และรัฐบาลสมทบ 2.75% ของฐานเงินเดือนเดียวกัน เงินสมทบทั้งหมดถูกรวมในกองทุนประกันสังคม ซึ่งมี สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้บริหารจัดการกองทุน

กฏหมายประกันสังคมบัญญัติว่า เงินกองทุนเป็นของสำนักงานประกันสังคมไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ต้องขอย้ำว่าสำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ตึก ถ้าใช้เงินจากกองทุนฯ ซื้อก็ต้องเป็นสมบัติของรัฐ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของผู้ประกันตน และไม่ใช่สมบัติของกองทุนประกันสังคม เพราะกองทุนไม่มีตัวตนตามกฎหมาย ไม่ใช่นิติบุคคล

ประกันสังคมออกแบบมาเพื่อจัดการความเสี่ยงในชีวิตการทำงานให้กับผู้ประกันตน แต่ด้วยการบริหารจัดการภายใต้กฏหมายและระเบียบที่ล้าสมัยและไร้เดียงสา ทำให้ผู้ประกันตนต้องเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เรื่องคือ

เรื่องแรกเสี่ยงต่อการบริหารจัดการแบบราคาแพงและมีความขัดแย้งของผลประโยชน์มากมาย กฎหมายอนุญาตให้ใช้เงินได้ถึง 10% ของเงินสมทบเพื่อการบริหารจัดการและกฎหมายก็ไม่มีการกล่าวถึงการจัดการเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ในการบริหารจัดการกองทุน

และเรื่องที่สองเสี่ยงว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้ประกันตนจะได้รับสวัสดิการชราภาพ ประกันสังคมกลับเหลือเงินไม่พอจ่ายให้กับผู้เกษียณอายุ  

ในที่นี้ขอเน้นเฉพาะความเสี่ยงเรื่องที่สอง

เมื่อต้นปี 2542 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำนักงานประกันสังคมเริ่มเก็บเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ด้วยความที่สวัสดิการทั้งสองประเภทนี้เริ่มต้นเก็บเงินสมทบพร้อมกัน สำนักงานประกันสังคมจึงรวมเงินไว้ด้วยกันแล้วเรียกว่าเป็นเงินสำหรับ 2 กรณี

ขอแวะข้างทาง ออกนอกเรื่องหน่อยเถอะ

การรวมเงินสมทบ 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกันเป็นการบริหารแบบไร้เดียงสาและทำให้ผู้ประกันตนเสียประโยชน์ เงินส่วนที่ใช้สงเคราะห์บุตรเป็นสวัสดิการระยะสั้น รับเงินมาแล้วก็จ่ายไปตามภาวะการเกิดมากหรือเกิดน้อย

ส่วนเงินสำหรับชราภาพ (ไม่ว่าจะเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ) เป็นสวัสดิการระยะยาว รับเงินมาแล้วต้องสะสม ลงทุน เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีและมั่นคง เพื่อการใช้จ่ายในอนาคตอันยาวไกล หรือยามบั้นปลายของชีวิต ผู้ประกันตนเสียประโยชน์เพราะในปัจจุบันรัฐได้อ้างว่าได้สมทบเงิน 1% เพื่อการสงเคราะห์บุตรและชราภาพแก่ผู้ประกันตนแล้ว ดังนั้น ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับการสนับสนุนการออมเพื่อการชราภาพแบบอื่น เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ที่กำลังจะเริ่มต้นเก็บเงินสมทบในปีหน้า

ถ้าไปดูระเบียบการจ่ายบำเหน็จแก่ผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปีขึ้นไป จะพบว่า ผู้ประกันตนได้รับเงินเฉพาะส่วนที่ตนและนายจ้างสมทบรวมกับผลตอบแทนการลงทุนเท่านั้น

เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าส่วนที่รัฐให้ 1% นั้นแท้จริงแล้วใช้เพื่อการสงเคราะห์บุตร

รัฐไม่ควรจำกัดสิทธิของผู้ประกันตนในการได้รับสวัสดิการ กอช. เช่นเดียวกับที่รัฐให้การสนันสนุนประชาชนกลุ่มอื่นๆ
ขอวกกลับเรื่องความเสี่ยงต่อ

เงินที่ผู้ประกันตนและนายจ้างสมทบออมมา 10 กว่าปีนั้นยังไม่ครบกำหนดการจ่ายบำนาญ จนกระทั่งปี 2557 ในปีแรกๆ คนมีสิทธิรับบำนาญจะยังมีน้อย แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนไทยโดยรวมอายุยืนขึ้นและในที่สุดจำนวนผู้รับบำนาญก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหามันอยู่ที่ รายได้จากเงินสมทบกับรายจ่ายบำนาญไม่สมดุลกัน ซึ่งสร้างความเสี่ยงแก่ผู้ประกันตน ณ วันหนึ่งรายได้จะไม่เพียงพอกับรายจ่าย ณ วันนั้น ก็ไม่ได้ยาวไกลนักประมาณ 25-30 ปีเท่านั้น

อัตราเงินสมทบเพื่อสวัสดิการชราภาพส่วนของผู้ประกันตนและนายจ้างรวมกันเท่ากับ 6% ของเงินเดือน ส่วนอัตราการจ่ายบำนาญขั้นต่ำเท่ากับร้อยละ 20 ของเงินเดือน ถ้าส่งเงินสมทบเกิน 15 ปี ก็จะได้เพิ่มอีกปีละ 1.5% ต่อปีที่สมทบเพิ่ม ตัวอย่างเช่น ส่งเงินสมทบ 16 ปี จะได้บำนาญในอัตรา 21.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ

ด้วยการเปรียบเทียบแบบง่ายๆ จะเห็นได้ว่าถ้าเราจ่ายเงินสมทบ 6% ต่อเดือนเป็นเวลา 15 ปี จะได้รับบำนาญเดือนละ 20% ไปจนตาย

ในปัจจุบันนี้อายุเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 73 ปี ถ้าหากเกษียณตอนอายุ 55 ปี เราสามารถประมาณได้ว่าการรับบำนาญซัก 5 ปีก็จะคุ้มเงินที่จ่ายไปแล้ว ส่วนที่เหลือของการรับบำนาญอีก 13 ปีเป็นเงินของผู้อื่นทั้งนั้น ผู้อื่นคือใคร เขาก็คือผู้ประกันตนวัยทำงานที่กำลังส่งเงินสมทบอยู่และรอรับบำนาญในอนาคต ลองคิดดูว่าถ้าเราฝากเงินในธนาคารยังได้รับการประกันเงินฝาก อย่างน้อยก็ได้เงินคืน กรณีนี้ผู้ประกันตนวัยทำงานจะบอกไม่ได้เลยว่าสมทบไปแล้วจะได้อะไรกลับหรือไม่

ด้วยเหตุที่คนเกษียณอายุจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เงินที่สะสมเป็นล้านล้านบาทนั้นค่อยๆ จ่ายออกไปจนหมด และติดลบอย่างรวดเร็ว เช่น ในปีที่ 3 ของการติดลบนั้นกองทุนต้องการเงินถึงกว่า 8 แสนล้านบาทมาชดเชยส่วนที่ขาด คราวนี้ผู้ประกันตนจะทำอย่างไรต่อ สำนักงานประกันสังคมจะไปหาเงินมากมายมาจากไหน
อย่างเพิ่งสิ้นหวัง ปัญหาต้องมีทางแก้ ลองเลือกเอาจาก 3 แนวนี้

1. ปล่อยไปเรื่อยๆ เงินหมดเมื่อไร ค่อยว่ากัน เรื่องของอนาคตคิดทำไม เราต้องอยู่กับปัจจุบัน Que Sera Sera แนวทางนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารประกันสังคมหรือกระทรวงแรงงาน และรัฐบาลในยุคปัจจุบัน ต้องกด Like

2. คำนวณอัตราเงินสมทบใหม่ ให้เกิดความสมดุลของรายได้และรายจ่ายที่จะเกิดในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกันตนจะต้องสมทบเงินเพิ่ม คนตายเร็วก็เอาเงินส่วนที่สมทบมากเกินไปช่วยจ่ายเป็นบำนาญให้แก่คนที่ตายช้า กระจายความเสี่ยงระหว่างผู้เกษียณทุกคนร่วมกัน

3. แก้กฎกระทรวงการจ่ายบำเหน็จบำนาญใหม่ แทนที่จะจ่ายเงินแบบตลอดชีวิตโดยไปเอาส่วนของคนอื่นมาใช้ ก็เปลี่ยนเป็นจ่ายบำเหน็จบำนาญจากส่วนที่ตนและนายจ้างช่วยกันสมทบ ถ้าอยากได้บำนาญมากๆ ไปตลอดชีวิต ก็ต้องสมทบเพิ่ม โดยที่คนอื่นจะมาล้วงเอาส่วนของเราไปใช้ไม่ได้ 

อย่างไรก็ดี หนทางที่ 2 และ 3 นั้นก็ช่างเป็นแค่แนวทาง เพราะที่จริงแล้วผู้ประกันตนแทบจะไม่มีช่องทางในการตัดสินเรื่องเหล่านี้เลย

ตัวแทนลูกจ้างในคณะกรรมการประกันสังคมก็คงกด Like ข้อ 1 เหมือนกัน

สุดท้ายไม่ว่าจะเลือก 1 หรือ 2 หรือ 3 ผู้ประกันตนก็หนีไม่พ้นความเสี่ยงเรื่องที่ 1 ที่กล่าวไว้ตอนต้น.

(ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)

รณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2554

The WHO Framework Convention on Tobacco Control 
พิทักษ์สิทธิตามกฏหมาย  มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่


องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก โดยในปีนี้ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ไว้ว่า The WHO Framework Convention on Tobacco Control (WHO FCTC) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดคำขวัญเป็นภาษาไทยว่า “พิทักษ์สิทธิ์ตามกฎหมาย มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่” และเพื่อให้สอดรับกับประเด็นของการรณรงค์ดังกล่าว มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้จัดทำเอกสารวันงดสูบบุหรี่โลกชุด “รวมพลังสร้างสังคมปลอดบุหรี่” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่ ที่มีต่อผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่  รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 19  รวมถึงการรณรงค์ให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นให้เยาวชนไทยสูบบุหรี่เพิ่มสูงขึ้น

จึงขอเชิญชวนร่วมกันรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อขอรับสื่อรณรงค์จากด้านล่าง


ภาพตัวอย่างสื่อ

ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่สวยแต่รูป...

โดย หัตถา

ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่สวยแต่รูป.....แต่น้ำใจยังงามอีกด้วย

...หลังท่านพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ถูกขบวนการของจอมมารอำมหิต ใช้นักเลงอันธพาลคุมประเทศ ไล่ออกนอกประเทศ และยึดทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวชินวัตร ด้วยข้อหาว่า ทำงานเก่งเกินไป,ร่ำรวยเกินหน้า,รวมเรียกว่า อิจฉาดีกว่า จนธุรกิจของครอบครัวชินวัตร ประสบปัญาและอุปสรรคขัดขวางมากมายจากมรสุมทางการเมือง

...ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสุดท้องของครอบครัวชินวัตร ต้องออกมารับหน้าที่บริหารธุรกิจต่อจากพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร.....ซึ่งหน้าที่ ที่หนักทีเดียว ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆจนนำพาธุรกิจของครอบครัวชินวัตรพ้นวิกฤตมาได้อย่างหน้าภาคภูมิที่เดียว โดยใช้เวลาไม่นานนักมีรายได้จากประกอบการธุรกิจต่อปีจำนวนไม่ทราบว่าเท่าไร รู้แต่ว่ามาก เพราะเกิดจากความสามารถปัญญาอันชาญฉลาดขยัน ซื่อสัตย์ของคุณยิ่งลักษณ์และทีมงาน

…ความมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นของคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ทำให้ลืมสังคม เท้ายังติดดินนำเงินบางส่วนกลับคืนสู่สังคม โดยไม่มีการสร้างภาพให้เป็นข่าวใหญ่โต เพื่อหวังผลบางอย่าง ซึ่งภาพการกระทำเหล่านี้ไม่เคยเป็นข่าวให้สังคมได้รับรู้มากนัก

...จึงขุดคุ้ยข้อมูลของคนที่จะเป็นนายกหญิงคนแรกของเมืองไทย ดูซิว่ากระทำประโยชน์อะไรให้สังคมบ้าง

…บางคนกาแฟแก้วเดียวยังไม่เลี้ยงใคร แต่ซื้อรถราคาแพงๆให้เด็กเกินวัยซิ่ง บางคนนามสกุลพ่อดังเป็นคุณหนูเรียนจบจากนอกมา ไม่เคยบริหารองค์กรขนาดใหญ่มาก่อน นอกจากมีประสบการณ์ขายที่แปลงเดียว แล้วลงเล่นการเมือง มันจะดีได้อย่างไร จะสร้างภาพทีก็ใช้เงินพรรค เงินภาษีประชาชน สร้างข่าวให้ใหญ่โตว่าข้านี่ใจบุญทำประโยชน์ให้สังคม
...ขุดคุ้ยจนพบว่าคุณยิ่งลักษณ์ ได้จัดตั้งโครงการชื่อ" ห้องสมุดสีส้ม"เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมเยาวชน ทั้งด้านกีฬา การศึกษา ให้ห่างไกลยาเสพติด โดยการสร้างห้องเรียน ให้โรงเรียนละ 1 ห้อง ไปตามท้องถิ่นทุรกันดารทั่วทุกจังหวัด พร้อมอุปกรณ์สื่อการสอนการเรียนและอุปกรณ์กีฬา
ข้อมูลแรกที่พบ
...โดยสร้างแห่งแรกที่ โรงเรียนวัดบ้านโฮ่ง ต.ออนใต้ อ.สันกำแพง ซึ่งได้ทำพิธีมอบให้กับ นายคุนธน จันทร์ธีระโรจน์ ผู้อำนวยการโรงเรียน พร้อมคณะครู นักเรียนผู้ปกครอง เข้าร่วมรับมอบด้วย
…ดูทุกสีหน้าและรอยยิ้ม ไม่ต้องเกณท์ไม่ต้องสั่งยิ้ม มากันเองยิ้มอย่างสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

...นี่ขนาดคุณยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ตัดสินใจทำงานการเมือง ยังมีความเป็นห่วงเป็นใยสังคมของเยาวชนและผู้พิการ ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมถึงขนาดนี้

…..นี่ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าสังคมไทยและคุณภาพชีวิตของผู้ยากไร้ต้องดีขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน
ภาพภายในอาคารเรียนที่สร้างเสร็จแล้ว โอ่งโถงและสวยมาก
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร 
พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 
บริจาคเงิน จำนวน 200,000 บาท แด่มูลนิธิสากลไทยรัฐ 
โดยคุณสราวุธ วัชรพล  เป็นผู้รับมอบ ณ สำนักพิมพ์ไทยรัฐ
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร
พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปันน้ำใจบริจาคเงินจำนวน  3 แสนบาท
แด่ นายดิสธร วัชโรทัย ประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิราชประชานุเคราะห์
ในพระบรมราชูปถัมภ์เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล
และร่วมบรรเทาทุกข์ให้กับผู้เดือดร้อนที่ประสบอุทกภัยภาคใต้
ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร
พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
บริจาคเงินจำนวน 3 แสนบาท  แด่นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย  
เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้สบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศเฮติ  
ณ อาคารเทิดพระเกียรติ ชั้น 1 ถนนอังรีดูนังต์ สภากาชาดไทย
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร
พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
บริจาคเงิน จำนวน 240,000 บาท แด่มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ
โดยมีศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ
เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 ถ.วิภาวดีรังสิต

คนอะไร...รวยก็รวยรูปก็สวย...จิตใจยังงามอีกด้วย ขอเพียงหนึ่งคลิกที่นี่ครับ

กาคนที่เรารัก....เลือกพรรคที่เราชอบ.....เบอร์ 1 เพื่อไทยเท่านั้น
เรื่องและภาพโดย: หัตถา

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

“สมยศ” ร่อนจดหมายถึงองค์กรปกป้องสิทธิและประชาธิปไตยทั่วโลก

“สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ฝากจดหมายขอความช่วยเหลือและชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ต่อกรณีถูกจับกุมคดีหมิ่นฯ ผ่านผู้ที่ไปเยี่ยมสู่โลกภายนอก วอนองค์ปกป้องสิทธิประชาธิปไตยทั่วโลกเรียกร้องกดดันรัฐบาลต่อ

 เมื่อวันที่วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมด้านแรงงานและบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร หลังถูกจับกุมด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 โดยสมยศได้เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือและชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม  รวมทั้งแสดงความขอบคุณองค์กรปกป้องสิทธิและประชาธิปไตยทั่วโลก หลังจากที่ในรอบเดือนที่ผ่านมาองค์กรเหล่านี้ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อเรียกร้องให้ประกันและปล่อยตัวสมยศ เพราะการจับกุมนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง