วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ซีรีย์ 1 ปีพฤษภาเลือด: (2) โศกนาฏกรรมของหญิงสาว เรื่องที่ไม่มีใครเชื่อและไม่ถูกพิสูจน์


การชุมนุมประท้วงของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงในห้วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ต้องบันทึกไว้ ทั้งในแง่จำนวน ความยาวนาน และ ‘การสูญเสีย’ ผ่านมาแล้ว 1 ปี เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร ยังสู้อยู่หรือไม่ และอย่างไร
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของคนเล็กๆ ที่มีสีสันหลากหลาย เป็นบทสัมภาษณ์ที่มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมเป็นหนังสือขององค์กรแห่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยเหตุผลบางประการ “ประชาไท” เห็นว่าน่าสนใจ จึงขอทยอยนำเสนอเป็นตอนๆ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการชุมนุมเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 53
*****หมายเหตุ ต่อไปนี้เป็นบทสัมภาษณ์ ‘พิศมัย’ (นามสมมติ) ที่ผู้จัดทำสัมภาษณ์ไว้หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค.53 ไม่นานนัก ‘พิศมัย’ เป็นหญิงสาววัยกลางคนที่ร่วมชุมนุมกับ นปช. และระบุว่าตนเองถูกชายที่แต่งชุดคล้ายทหารข่มขืนในวันที่ 15 พ.ค.53 ที่ด่านตรวจค้นของทหาร
ภายหลังบรรยากาศอันตึงเครียดของเหตุการณ์ราว 1 เดือน พรรคเพื่อไทยเคยแถลงข่าวเรื่องราวของเธอ และมีการแจ้งความ แต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่งเจ้าทุกข์เข้าร้องเรียนกับ ‘วัชระ เพชรทอง’ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งในเดือนมี.ค.ปี 2554 และมีการร่วมกันแถลงข่าวยื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบกรณีนี้ (อ่านรายงานข่าวได้ที่ด้านล่างสุด)


การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ แต่ใครเลยจะคาดคิดว่าการเข้าร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจะลงเอยด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องราวที่เกิดกับพิสมัย แม่ของลูกๆ 4 คน ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของคนเสื้อสีใด ก็ควรนับได้ว่าเป็น…โศกนาฏกรรม
20 ปีก่อน เด็กสาวชื่อพิสมัย(นามสมมติ) เดินทางจากโคราชบ้านเกิด เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ เป็นแม่บ้านบ้าง รับจ้างทั่วไปบ้าง ชีวิตไม่ได้ราบเรียบดั่งในนิยาย มีสามีและเลิกกันแล้ว 2 คน ทิ้งลูกไว้ให้เธอดูแลเพียงลำพังถึง 4 คน แต่เธอและลูกๆ ก็เอาตัวรอดในเมืองกรุงแบบคนหาเช้ากินค่ำทั่วไปมาได้โดยตลอด เมื่ออายุล่วงเลยเข้าวัยกลางคน พิสมัยก็หันเหมาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง
“ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีก็เลิกขายของ พอดีพวกพี่เขามาชุมนุม เพื่อนชวนมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็มา” พิสมัยเริ่มต้นเล่าความเป็นมาที่เข้าร่วมการชุมนุม ด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่มีสำเนียงอีสานเจือปน “แถวบ้านเราก็มากันนะ  มันมีข้าวกินฟรี ไปด้วยใจ ไม่ได้ค่าจ้างก็ไป เริ่มไปตั้งแต่วันที่ 17 มีนา ไปทุกวันเพราะเลิกขายของแล้ว ขายไม่ค่อยดี ค่าที่ก็แพง หาให้ค่าที่เขาอย่างเดียว ไปชุมนุมดีกว่า ช่วงนั้นลูกปิดเทอม ก็ฝากไว้กับข้างๆบ้าน บางครั้งก็พาไปบ้าง บางวันก็พาลูกนอนที่หน้าเวที”
“แต่ก่อนก็ไม่ได้ใส่ใจการเมืองอย่างนี้   ครั้งนี้ที่ใส่ใจก็เพราะว่าอะไรก็ไม่ดีขึ้น ของก็แพง ทองก็แพง หากินไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น” เป็นเหตุผลตรงไปตรงมาของคนรากหญ้าคนหนึ่ง
 “คนที่มาชุมนุมจากต่างจังหวัด เขาไม่ได้มาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างเดียวนะ เขาเรียกร้องอย่างอื่นด้วย แถวบ้านทำข้าวทำนาปุ๋ยก็แพง ทำไมรัฐบาลเขาไม่แก้ ไม่ฟังเสียงประชาชนว่าเขาต้องการอะไร มีแต่สั่งสลาย สั่งขอพื้นที่คืน”
“วันที่ 10 เมษา เห็นทหารมากันเยอะ ก็เลยพากันออกมาจากบ้านเพื่อมาช่วยกัน คือออกมากันให้เยอะๆ น่ะ ออกมาตอนประมาณ 3 โมงเย็น มาถึงเหตุการณ์ยังปกติอยู่ พอ 6 โมงเย็นกำลังเดินอยู่แถวคอกวัว ฮ.ก็มาโปรยแก๊สน้ำตา ตอนนั้นไม่ได้เตรียมอะไรเลย ก็ไม่รู้ ก็เลยแสบตา ก็วิ่งเข้าไปที่ทหารกำลังตั้งด่านอยู่  เห็นเสื้อแดงสู้กับทหาร  มีคนบอกให้ผู้หญิงมาช่วยการ์ดหน่อย ก็เลยตั้งกำแพงอยู่แถวหลังการ์ด ทีนี้การ์ดเอาไม่อยู่ 6 โมงกว่าเริ่มจะรุนแรงขึ้น ต่างคนต่างดัน แต่ป้าคนนั้นล้มไปน่ะ โดนทหารเหยียบเป็นกลุ่มเลย พี่ก็เลยตะโกนให้ไปช่วยกันดึงป้าออกมา ทหารก็บุกเข้ามาจนถึงคอกวัวแล้วไง  พี่ก็โดนกระแทกๆๆ รู้สึกไม่ไหวแล้ว จุก โดนด้ามปืนตี ทั้งกระบอง ทั้งแก๊สน้ำตา มันแสบ ไม่ไหวแล้ว คิดถึงลูกก็เลยวิ่งออกมา แล้วก็วิ่งไปตรงสตรีวิทย์ รถถังจะเข้ามาอีก ก็วิ่งไปช่วยเขาหมอบไม่ให้รถถังเข้ามาอีก คือยอมตายนะ หมอบกันเต็มเลยแล้วรถถังก็ไม่เข้ามาแล้ว ทีนี้พอเริ่มยิงเราก็เลยรีบออก  เจอฝรั่งสองคนก็บอกเป็นภาษาไทยว่า เขายิงจริงๆ น่ะ ฝรั่งเขาเห็นลากคนบาดเจ็บ นปช.ขึ้นรถปอเต๊กตึ๊งไป พี่ก็ไปมุดอยู่ใต้รถวีโก้ ไม่รู้ของใคร มันเริ่มมืดแล้วตอนนั้น ฝรั่งวิ่งตามพี่ไปก็ดึงพี่ออกมา  บอกให้หนีไปพร้อมเขา แต่ฝรั่งก็วิ่งไปไหนไม่รู้ ก็เลยไปหมอบอยู่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพักหนึ่ง  แล้วก็ไปที่เวทีนั่งอยู่จนสว่าง”
จากปฏิบัติการสลายการชุมนุมของทหารในวันนั้นทำให้เธอต้องไปพบแพทย์ ในใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราชระบุว่า เธอได้รับบาดเจ็บจากการโดนด้ามปืนกระแทกอก ทำให้เกิดบาดแผลฟกช้ำบริเวณอกขวา และอาการระคายเคืองตาจากแก๊สน้ำตาในเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อ 10 เมษา
รอดจากเหตุการณ์ 10 เมษา พิสมัยก็ยังกลับไปชุมนุมอีก
“ก็ไปเรียกร้องประชาธิปไตยอีก ไม่รู้จะไปไหน ช่วงนั้นลูกก็ปิดเทอม  เราก็เอาข้าวฟรีเนี๊ยะ 3-4 กล่อง หอบกลับบ้านทางศาลาแดงสวนลุมฯ ปกติออกทางนั้นประจำ ตอนหลังมาออกไม่ได้ วันที่ 15 ก็เตรียมข้าวไว้อยู่ตรงทางที่ออก วันที่ 14 ก็นอนที่นั่น โทรบอกลูกว่า แม่กลับไม่ได้นะลูก ไม่มีที่ออก ลูกก็บอก แม่กลับมาเหอะ พี่ว่าจะกลับยังไงล่ะ เอ้า แม่นอนนี่ละนะ บอกลูกคนโตว่าดูน้องด้วย ลูกก็ว่า ให้แม่ปลอดภัยนะ ตอนนอนก็ได้ยินเสียงตู้ม ตู้ม แถวโรงพยาบาลจุฬาฯ ยิงกันสนั่นหวั่นไหว ไม่รู้ยิงกันตรงไหนมั่ง ก็นอนหลับๆตื่นๆ ก็คุยกันว่าออกเช้าดีกว่าถึงจะปลอดภัย กลางคืนมันถูกยิงน่ะ มีคนถามว่า จะออกเหรอ ตายก็ตายด้วยกันที่นี่แหละจะไปทำไม ก็บอกว่าไม่เอาหรอก ฉันมีลูก เช้าวันที่ 15 ตอนตี 5 ครึ่ง คนที่นอนด้วยกันออกมาอยู่ 4 คน ออกทางประตูน้ำ ทหารยิงก็เลย ล้มเลยนะ เป็นผู้หญิง ไม่รู้ว่าตายหรือไม่ตาย  พี่ก็งง ทำไมไม่มีออกสื่อ แล้วก็มีระเบิดอีกลูกหนึ่ง อุ้ยตายแล้ว!จะกลับยังไงดี  บางกลุ่มก็วิ่งกลับมา บอกว่า อย่าไปๆ เรากำลังโดนยิงอยู่ตรงประตูน้ำ เขาก็วิ่งฮือกลับมาที่เวที”
ลูกเป็นเหตุผลใหญ่ในการตัดสินใจออกจากที่ชุมนุม ถึงแม้จะรู้สึกได้ว่าไม่ปลอดภัย
“เห็นเพื่อนโดนยิงก็ไม่กล้าออกไป กลับมานั่งรอจน 6 โมงเย็น จะออกทางไหน จะทำยังไงดี ก็คุยกับป้าคนหนึ่ง ป้าก็บอก อุ๊ย จะออกไปได้ยังไงลูก ไม่เห็นเหรอเมื่อเช้ามันยังยิงเลย ออกไม่ได้ก็ไม่ต้องออก อยู่มันอย่างนี้แหละ พี่บอกว่า แต่หนูต้องหาทางออกให้ได้ ป้าแกก็บอกให้ระวังด้วยนะลูก เย็นแล้ว ทหารเริ่มมาตั้งด่านแล้วนะ   วินมอเตอร์ไซค์เห็นพี่อยากออกก็พาออกไปตรงปทุมวันแล้วเลี้ยวซ้าย (ห้างมาบุญครอง) มันจะมีด่าน ผู้ชายคนหนึ่งออกมาก็โดนจับอยู่อีกด่านหนึ่ง  โดนถอดเสื้อแล้วให้ยกมือขึ้นแต่จากนั้นเป็นยังไงอีกก็ไม่รู้นะ พี่ก็เลยเดินวนไปวนมาตรงที่เขากั้นยางไว้ เห็นทหารเยอะจังน่ะ เราก็ไม่เคยออกทางนี้ ออกครั้งแรกในชีวิตเลย แต่ก็เชื่อมอเตอร์ไซค์ เขาบอก พี่ไปเหอะๆ เขาออกไปแล้วล่ะ พี่ก็เลยออกไปคนเดียว คนข้างๆ อีกคนหนึ่งก็เดินกลับ เขาถามว่าพี่ออกจริงเหรอ ออกสิ สงสารลูก”
“พอพี่เดินๆไปทหารก็ดึงเสื้อเลย ถามว่าจะไปไหนน่ะ ขอค้นกระเป๋าหน่อย ก็มีรูปของทักษิณ เสธ.แดง แล้วก็มีบัตรนปช. ก็บอกทหารว่า พี่ๆๆ ปล่อยๆหนูออกไปนะ ยกมือไหว้ด้วย ทหารก็บอกว่าไม่ได้ ก็อึ้งไป เขาบอกว่า ไปนั่งตรงโน้นเลย ก็จับดึงไปนั่งยกมือประสานบนหัวไว้  ถามว่ามาทำอะไร ก็บอกว่ามาชุมนุม นปช. ก็เห็นนายกฯ ประกาศว่าให้คนที่ชุมนุมข้างในถอนตัวออกมา พี่ก็ออกมาแล้วๆทำไมไม่ให้พี่กลับล่ะ เขาก็บอกว่านั่งก่อน แล้วก็เดินไป อีกคนเดินมาดู พี่บอกเขาว่าขอบัตรคืนได้หรือเปล่า จะกลับบ้านแล้วนะนี่ก็จะทุ่มแล้ว  เขาก็บอกว่ายังไม่ให้กลับ นั่งก่อน จะให้นั่งรออะไรล่ะ คนที่สามเดินมาก็ขอกลับบ้านอีก เขาก็ไม่ให้ ทีนี้เลยพูดว่า ไอ้เหี้ย! จะจับกูไว้ทำไมวะ กูจะกลับบ้านเนี๊ยะ แค่นั้นแหละหันมานี่เลย ต่อยท้อง ร่วงไปเลย ทหารก็หิ้วขึ้นมาอีก ตอนแรกก็ยังจุกแหละ ถามว่าดึงทำไม ก็โดนต่อยอีก คราวนี้ไม่รูเรื่องเลย ตื่นมาเสื้อผ้าก็ถลกขึ้นมาหมดเลย”
น่าจะนานหลายชั่วโมงที่พิสมัยหมดสติไป เมื่อรู้สึกตัวเธอก็คาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายที่เป็นของเธอ
“ทหารมาปลุกโดยใช้ส้นรองเท้าที่เป็นเหล็กสะกิดแรงๆ บอกกลับได้ เนี่ยยังเป็นรอยอยู่เลย พี่ก็สลึมสลือ ก็งง ตอนนั้น รีบใส่เสื้อผ้า คอก็เคล็ด ลุกไม่ขึ้น รู้สึกว่ามีคราบขุ่นๆ ใสๆ เต็มไปหมดเลย ก็เจ็บ ก็รีบลุกไม่รู้จะไปทางไหนดี วิ่งไปอย่างเดียว ไปนั่งอยู่ป้ายรถเมล์พักนึง ก็ไปต่อ ไม่มีรถวิ่งแล้ว มันดึก ก็มีสามล้อไปส่งให้ไปลงที่สนามหลวง โทรไปหาเพื่อนให้มาช่วยหน่อย เขาก็อยู่ไกล อยู่พระประแดงก็มาไม่ได้ เขาก็บอกว่าให้นั่งรอที่สนามหลวง เดี๋ยวคอยไปพรรคเพื่อไทยตอนเช้า พี่ก็ไปพรรคเพื่อไทยแต่เช้าทั้งยังไม่อาบน้ำ คราบก็ยังอยู่ เขาพาไปแจ้งความ แล้วก็พาไปส่งตรวจที่โรงพยาบาลกลาง พี่ไม่มีแรงเลย มันเจ็บ เหมือนอะไรมันจะหลุดออกมา โดนไปกี่คนก็ไม่รู้ เคยมีสามีแต่ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ คือมันตุ่ยออกมา มันเจ็บ มันทรมาน” เธอพูดเสียงเครือพร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลออกมา อากัปกิริยาในตอนแรกๆ ที่ดูเหมือนไม่ซีเรียสกับชีวิตหายไป เธอเงียบไปสักพักใหญ่ๆ
ภาพร่องรอยที่ถูกทำร้ายตามร่างกาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวันถ่ายไว้ตอนรับแจ้งความ
รูปใบหน้าผู้ต้องหาที่ตำรวจออกหมายจับ

ใบนัดตรวจร่องรอยการถูกระทำชำเรา, หลังจากตามเรื่องจากโรงพยาบาลนานนับเดือน 
เจ้าทุกข์แจ้งว่าได้รับผลการตรวจแล้วพบคราบอสุจิในช่องคลอด
แต่เอกสารดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างกับเจ้าทุกข์ว่าได้ส่งให้อัยการแล้ว ไม่สามารถให้สำเนาได้
“มันเสียใจ เรามาเรียกร้องประชาธิปไตยแต่ทำไมต้องเกิดอย่างนี้ขึ้นกับพี่ มันเสียความรู้สึก ทำไมรัฐบาลมันทำกับพวกประชาชนอย่างนี้ คือเราไม่มีอาวุธเลย ยกมือไหว้แล้วก็ยังไม่ให้กลับ”
“เพื่อนก็สมน้ำหน้านะ บอกว่าไปเสื้อแดงผลสุดท้ายเป็นยังไง ก็อาย อยากจะย้ายห้อง มันบอกไม่ถูก รัฐบาลทำไมถึงทำอย่างนี้ ทหารน่ะเป็นทหารจริงหรือเปล่า  พูดก็ไม่ค่อยชัด ใส่ชุดทหารก็จริงแต่จิตใจเหมือนไม่ใช่ทหาร ก็ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา หรือว่าเราไปด่าเขา ก็โมโหอยากกลับบ้านน่ะ เห็นเหตุการณ์ไม่ดีแล้ว เรายังมีลูกอยู่ อยากกลับแต่เช้าก็ไม่กล้ากลับ พอกลับก็เจออย่างนี้”
“ออกเหมือนทหารเกณฑ์ มันเห็นคร่าวๆ นะ เขามาก็หลบแล้ว กลัวนะ ไม่เคยเจอกับชีวิตของตัวเองจนป่านนี้ เมื่อก่อนอยู่ที่ผ่านฟ้า ทหารมาตั้งด่าน น้ำท่าไม่เห็นเขาจะได้กินเท่าไหร่  เวลาเรามีข้าวกล่องกินเยอะ ก็เอาไปส่งให้พวกทหารที่ยืนถือโล่อยู่น่ะ น้ำเนิ้มเอาไปให้ เขาก็รับนะ แต่ทำไมเขาถึงทำกับประชาชนอย่างนี้ ผลสุดท้ายทำไมมันเป็นอย่างนี้”
เธอไม่เพียงเชิญกับโศกนาฏกรรมข้างต้น หากแต่ยังได้รับผลสะท้อนที่ไม่ดีนักอีกหลายต่อ เช่นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล
“ตอนเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาล ก. หมอก็ทำเหมือนเราไม่ใช่คน เอาสำลีใส่ไม้กระแทกเข้าไปแล้วก็กวน(ตรวจภายใน)...เจ็บมาก ทีหลัง พอพี่กลับไปเดินเรื่อง ไปถามว่า พี่คดีหนูถึงไหนแล้วคะ โอ๊ยอยู่โน่นโรงพยาบาล ศ. อีก 2 อาทิตย์ พอครบ 2 อาทิตย์ พี่ไป เขาก็บอกอีก 2 อาทิตย์  พอครบ 2 อาทิตย์ ก็บอกอีก 2 อาทิตย์อีกแล้ว ทีนี้ก็เลยบอกเขาถ้าไม่ช่วยเดินเรื่องก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เบื่อแล้ว เขาก็ทำงานของเขาต่อไม่พูดอะไร”
ทุกวันนี้เธอยังต้องทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“มันแน่นท้องเป็นอะไรไม่รู้ วันนั้นที่ไปหาหมอก็กินยาขับหนองขับอะไร มันก็ออกมา ต้องใส่ผ้าอนามัยเป็นสิบกว่าวัน  เวลามันปวด มันเหมือนมดลูดมันบีบของเสียออกมา มีหนองมีเลือดปนกันออกมา หมอบอกว่ามดลูกอักเสบก็กินยาแผงละ 50 บาท ซื้อที่คลีนิค เงินก็ไม่ค่อยมี เวลากินข้าวก็กินไม่ได้มากนะ เหมือนลมตีขึ้น ยังเจ็บสองข้างมดลูก กดลงนี่เจ็บนะ เวลานอนนี่ออกร้อนออกหนาวเหมือนมีอะไรตีขึ้นดันหน้าอก ก็อยากจะเช็คอยากจะตรวจว่ามันเป็นอะไร แต่ก็ยังไม่ค่อยมีตังค์”
แม่ค้าขายข้าวแกงที่ออกมาร่วมเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม แต่เมื่อถึงยามที่เธอต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองเธอกลับยอมแพ้เอาดื้อๆ  
“คงไม่มีแรงตามเรื่องหรอก ไม่มีเส้น ไม่มีใครช่วย ทุกวันนี้ท้อแล้ว คงสู้เขาไม่ได้หรอก ถ้าใครสามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ก็คงจะดี ตอนนี้อยากจะหางานทำหาเงินรักษาตัวเอง ข้างในถ้ามันเป็นอะไรไป อย่างเป็นมะเร็ง ก็คงไม่มีปัญญารักษา”
พรรคเพื่อไทยให้ความช่วยเหลือด้านการแจ้งความ และดูแลเรื่องต่างๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกเรื่องที่เธอต้องการ เธอเดินทางไปขอรับเงินชดเชยด้วยตัวเองที่กระทรวงพัฒนาสังคม แต่ไม่ได้รับเงินชดเชยเนื่องจากไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ แม้จะมีหลักฐานเพียงใดก็ตาม อีกทั้งให้เหตุผลแย่ๆ กับเธออีกว่า เธอเคยได้รับการชดเชยไปแล้วในกรณี 10 เมษา นั่นทำให้เธอรู้ว่าเงินไม่พันบาทครั้งนั้นครอบคลุมการเยียวยาความบอบช้ำทุกอย่างและครอบคลุมระยะเวลายาวนานตลอดชีวิต
ท้ายที่สุด พิศมัยยังคงดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเอง ด้วยการกู้ยืมเงินจากผู้ใจบุญมาขายข้าวแกงอีกครั้ง พร้อมกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง เธอบอกว่าการปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์แม้จะเป็นพื้นที่ข่าวเล็กๆ ตลอดจนการแจ้งความดำเนินคดีกับรัฐดูจะชักนำให้ชายฉกรรจ์มาปรากฏตัวที่หน้าบ้านยามวิกาลหลายครั้ง
เธอพยามยามเข้มแข็งและดำเนินชีวิตต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อลูกๆ ทั้ง 4 และคงยากที่จะกลับไปเกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวใดๆ อีก นี่คือบทเรียนของสังคมที่ได้ชื่อว่าประชาธิปไตยให้ไว้กับเธอ
00000000

เสื้อแดงร้องปชป.ตามคดีถูกทหารข่มขืนหลังผ่านเกือบปีไม่คืบ
ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  (2 มี.ค.54)
นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวมอบเงินช่วยเหลือหญิงสาวสูงวัยนามสมมตินาง จ. 3,000 บาท เพื่อให้เป็นทุนประกอบอาชีพ พร้อมรับปากต่อหน้าสื่อมวลชนว่าจะเร่งรัดคดีที่นาง จ.ถูกชายสวมชุดทหารข่มขืน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ระหว่างที่เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงที่บริเวณราชประสงค์ ซึ่งนาง จ.ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วคดีไม่มีความคืบหน้า โดยนายวัชระ ยืนยันว่าจะนำหนังสือขอความเป็นธรรมไปมอบให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้สั่งการไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เร่งรัดคดีดังกล่าวด้วยนอกจากนั้นจะทำสำเนาหนังสือร้องเรียนไปยังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งช่วงที่มีเหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เป็นผู้ดูแลศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้ตรวจสอบบุคคลที่สวมชุดทหารและเป็นผู้ลงมือข่มขืนนาง จ. อย่างไรก็ตามตนยอมรับว่านาง จ. ได้เข้าร้องเรียนกับตนมาแล้วจำนวน 1 ครั้งซึ่งตนก็ได้ส่งเรื่องให้นายกฯ ช่วยดำเนินการแต่เรื่องไม่คืบหน้าด้วยเหตุผลใดตนไม่ทราบ
นาง “จ.” เปิดเผยกับสื่อว่า ก่อนหน้านั้นตนได้ไปร้องเรียนเรื่องดังกล่าวกับนายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยให้ช่วยเหลือ แต่ได้รับเพียงเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวน 20,000 บาท เรื่องก็เงียบหายไป และการเข้ามาร้องเรียนครั้งนี้ ตนมั่นใจ ว่านายวัชระจะสามารถช่วยเหลือตนได้
00000000
สาวร้องเพื่อไทย ถูกข่มขืนในด่าน'จนท.'
ที่มา: หนังสือพิมพ์มข่าวสด (23 มิ.ย.53)
สาว'นปช.'โผล่ร้องโดนข่มขืนในด่านจนท.ช่วงสลายการชุมนุมม็อบแดง เผยเป็นนปช.ไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ ช่วงค่ำวันที่ 15 พ.ค. ออกจากวัดปทุมฯ จะกลับบ้านที่บางแค แต่เจอด่านทหารที่ราชเทวีเลยถูกกักตัวไว้ เหยื่อโวยวายเลยโดนชายแต่งคล้ายทหารชกเข้าที่ท้องก่อนลงมือขืนใจจนสลบก่อนปล่อยกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นจึงไปแจ้งความ ไปตรวจร่างกายที่ร.พ.ยืนยันโดนขืนใจจริง
เวลา 12.00 น. นางเอ (นามสมมติ) สมาชิกกลุ่มนปช. อายุ 40 ปี เดินทางมายังพรรคเพื่อไทย เพื่อขอคำปรึกษาด้านกฎหมายหลังจากที่ได้แจ้งความว่าถูกชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหารข่มขืนกระทำชำเรา ไว้ที่สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 พ.ค. โดยนางเอกล่าวว่า มาร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 14 พ.ค. และนอนค้างบริเวณสวนลุมพินี จนกระทั่งวันที่ 15 พ.ค. ตนพยายามจะหาทางออกจากพื้นที่ชุมนุมเพื่อกลับบ้าน แต่มีคนบอกว่าทหารล้อมไว้ทุกด้าน จนกระทั่งเย็นเวลาประมาณ 18.00 น. เจอจยย.รับจ้างมาถามว่าอยากกลับบ้านหรือ จะไปส่งเอาไหม ตนจึงโดยสารจยย.รับจ้างมาลงบริเวณหน้าวัดปทุมวนาราม และเดินออกไปทางแยกปทุมวัน
เหยื่อสาวกล่าวว่า เมื่อเดินไปถึงแยกปทุมวันก็เจอด่านเจ้าหน้าที่กั้นอยู่ ตนพยายามเดินเลี่ยงเลี้ยวซ้ายไปทางแยกสามย่าน แต่ก็เจอคนที่เดินไปก่อนย้อนกลับมาเพราะเจอด่านอีก จึงย้อนกลับมาเช่นกัน เมื่อเดินไปสักระยะ เห็นป้ายเขียนว่าราชเทวีก็เจอด่านเจ้าหน้าที่และขอตรวจค้น กลุ่มเจ้าหน้าที่เห็นตนพกรูปพ.ต.ท.ทักษิณ เสธ.แดง และบัตรนปช.จึงกักตัวไว้อยู่เป็นเวลานาน ทำให้ตนหงุดหงิดเพราะอยากกลับบ้าน จึงตะโกนด่าว่าเมื่อไหร่จะปล่อยให้กลับเสียที จากนั้นมีชายแต่งกายคล้ายทหารคนหนึ่งไม่พอใจ เดินเข้ามาลากตนออกไปแล้วชกเข้าที่ท้อง 2 ครั้ง จากนั้นจึงข่มขืนกระทำชำเราตน ซึ่งช่วงนั้นทำร้ายจนสลบไปจากนั้นชายคนดังกล่าวใช้เท้าเตะปลุกให้ตนลุกขึ้นพร้อมไล่กลับบ้านไป
นางเอ กล่าวว่า หลังจากที่ตนลุกขึ้นมาก็วิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุทันที บนถนนก็โล่งไม่มีรถวิ่งเลย เมื่อไปได้สักประมาณ 5 ป้ายรถเมล์จากจุดเกิดเหตุก็นั่งพัก จนเจอรถสามล้อจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง โดยสารรถไปสนามหลวงเพื่อต่อรถเมล์กลับบ้านย่านบางแค ตนมาถึงบ้านประมาณ23.00 น. ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวทำอะไรไม่ถูกไม่กล้าแจ้งความเพราะไม่รู้ว่าสถานีตำรวจอยู่ตรงไหน และไม่กล้าอาบน้ำเพราะกลัวว่าหลักฐานจะหายไป จนกระทั่งเช้าของวันที่ 16 มิ.ย. จึงเดินทางมาที่พรรคเพื่อไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความที่สน.ปทุมวันและเข้าตรวจร่างกายที่ร.พ.กลาง ซึ่งตามร่างกายของตนปรากฏรอยช้ำจากการถูกกัดเต็มไปหมดรวมไปถึงตรวจพบน้ำอสุจิในร่างกายของตนหมอจึงให้ยาฆ่าเชื้อและยาคุมกำเนิดมากิน
นางเอ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่ตนต้องมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช. เป็นเพราะหลังจากเปลี่ยนรัฐบาลมาทำมาค้าขายไม่ดีเลย จึงมาร่วมชุมนุมตั้งแต่นปช.ยังปักหลักที่บริเวณผ่านฟ้าฯ เมื่อย้ายเวทีมาที่แยกราชประสงค์ตนก็ได้ตามมาร่วมชุมนุมด้วยและชุมนุมจนกระทั่งเกิดเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ ตนเป็นคนนครราชสีมา แต่ย้ายมาขายของที่กรุงเทพฯ โดยพักที่บ้านญาติแถวบางแค มีลูกสาม 3 และหย่ากับสามีมา 16 ปีแล้ว หลังจากเกิดเหตุตนก็ทำงานไม่ได้ ปวดมดลูกและพบว่ามีหนองไหลออกมาจากบริเวณช่องคลอด ซึ่งตนได้ไปหาหมอที่ร.พ.ศิริราชแล้ว โดยหมอให้ยาฆ่าเชื้อมาทานแต่ไม่หาย ตนจึงต้องไปซื้อยาครั้งละ 40-50 บาทจากร้านขายยามากินแทน
นางเอ กล่าวว่า เคยไปร้องเรียนที่มูลนิธิปวีณาฯ มาแล้วจากคำแนะนำของศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชน ของพรรคเพื่อไทยแต่มูลนิธิปวีณาฯ ปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือโดยระบุว่าตนแจ้งความเท็จ ทั้งที่ตนมีหลักฐานเอกสารยืนยันว่าตนถูกข่มขืนจริง เอกสารหลักฐานต่างๆ ของตนนั้นได้มอบให้นายจตุพรพรหมพันธุ์ แกนนำนปช.ไปแล้ว 1 ชุด แต่ตนไม่ได้ถูกข่มขืนในวัดปทุมวนารามตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่ถูกข่มขืนบริเวณแถวห้างมาบุญครองหรือราชเทวี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลักฐานเอกสารที่นางเอนำมาแสดงนั้นประกอบด้วยสำเนาบันทึกประจำวัน สน.ปทุมวัน เลขที่ 076 ลงวันที่ 16 พ.ค.2553 โดยมีร.ต.อ.หญิง คนึงนุช ทศไพรินทร์เป็นร้อยเวรผู้รับแจ้งเหตุ ภาพถ่ายรอยช้ำตามร่างกาย ผลตรวจชันสูตรบาดแผล หน่วยนิติเวชวิทยา ร.พ.กลาง ที่ระบุว่าถูกกระทำชำเรา และใบตรวจร่างกายที่ออกโดยร.พ.ศิริราช โดยระบุว่าอาการป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง และโรคกระเพาะอาหารอักเสบ พร้อมด้วยภาพสเกตช์ใบหน้าคนร้ายที่ออกโดยสน.ปทุมวัน เลขที่0729/53
เย็นวันเดียวกัน ร.ต.อ.หญิง คนึงนุช ทศไพรินทร์ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน กล่าวว่า กรณีที่นางเอแจ้งความว่า ถูกข่มขืนเมื่อคืนวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้เสียหายมีการเข้าแจ้งความไว้จริงเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าวันเกิดเหตุเดินออกมาจากวัดปทุมฯ และมาเจอกลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหาร มีหมวกมีผ้าปิดปากปิดจมูก กักตัวไว้ และทำร้ายร่างกาย ก่อนลงมือข่มขืน หลังรับแจ้งความแล้วตำรวจก็ทำงานลำบาก เพราะเป็นช่วงที่มีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พาผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุลำบากมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุมของทหาร อีกทั้งผู้เสียหายเองก็จำที่เกิดเหตุไม่ได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ได้ส่งตัวไปตรวจที่ร.พ.กลาง และถูกส่งไปตรวจอีกครั้งที่ร.พ.ศิริราช ซึ่งผลการตรวจจากแพทย์ออกมาแล้ว ระบุว่าพบว่าในช่องคลอดพบเชื้ออสุจิจริง จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ให้ผู้เสียสเกตช์ภาพของคนร้ายที่ข่มขืน ซึ่งได้ออกหมายจับชายตามภาพสเกตช์แล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก ประชาไท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น