วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ล้วงลึก"สาวนักสืบ"ปราบกิ๊ก-ล่าเมียน้อย ทึ่ง!ราชการหญิงใกล้เกษียณ ซุก"ชู้หนุ่ม" ไว้เลี้ยงดูเพียบ!

ภายหลังจากที่สำนักข่าวเอเอฟพี  ได้อ้างข้อมูลชายไทยนิยมมีภรรยาน้อยมากขึ้นและไม่ได้มีเพียงแค่เพียงคนเดียว แต่กลับมีภรรยาน้อย หรือกิ๊กมากถึง 2-3 คน ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ อำนวยพร มณีวรรณ์ นักสืบเอกชนหญิงชาวไทย มาเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2554 นั้น
 อำนวยพร มณีวรรณ์

ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์เพิ่มเติมจากนักสืบคดีชู้ชื่อดังรายนี้ เจ้าของฉายา"สายสืบปราบกิ๊ก" ถึงกรณีดังกล่าว โดยเธอระบุว่า  ที่มาในการตามสืบเรื่องการมีภรรยาน้อย  ชู้ หรือ กิ๊ก หรือส่งเสียเลี้ยงดู ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็แล้วแต่   เริ่มมาจากเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งมีคนมาจ้างให้เธอตามสืบสามีที่ต้องสงสัยว่าไปมีภรรยาน้อย เพื่อที่ลูกค้ารายนั้นจะได้นำหลักฐานไปฟ้องหย่า จากนั้นมาเมื่อประสบผลสำเร็จ ก็มีการบอกต่อกันมาเรื่อยๆ ซึ่งต้องบอกว่า ปัจจุบัน คนที่แต่งงาน หรือไม่ได้แต่งงานกัน ต่างนอกใจคู่รักของตัวเองไปมีเมียน้อย มีชู้ มีกิ๊ก กันเยอะมากๆไม่เฉพาะแต่หญิงมาจ้างให้สืบฝ่ายชาย แต่ฝ่ายชายก็มีมาจ้างให้ติดตามพฤติกรรมของฝ่ายหญิงด้วย  เรียกว่า ทั้งหญิงสืบชาย ชายสืบหญิง มีอัตราส่วนพอๆ กันแล้วเดี๋ยวนี้ หรือแม้กระทั่งบุคคลเพศที่ 3 ก็มาใช้บริการสืบจากตนเช่นกัน   มีทุกเพศทุกวัยจริงๆ  ในทุกวงการก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน  ส.ส.  ส.ว.    นักการเมือง ข้าราชการ ครู  ทหาร ตำรวจ แพทย์   ดารา นักร้อง  นักธุรกิจ  ไฮโซ  พนักงานบริษัท ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อยู่ในวัยคนทำงานที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ฐานะปานกลางขึ้นไปจนถึงสังคมชั้นสูง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษา ตนจะไม่รับเลย เพราะค่าใช้จ่ายตรงนี้ค่อนข้างสูงมาก ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการเยอะจนล้น ตนก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนจะมีปัญหากันมากขนาดนี้

อำนวยพร หรือพี่กุ้ง เผยว่า จากประสบการณ์ในการตามสืบกิ๊ก ควานหาชู้ของเธอ พบว่า ในส่วนของคนที่เป็นข้าราชการจะนอกใจคู่สมรสของตัวเองเยอะมากๆ(น้ำเสียงเน้นย้ำ)  ส่วนใหญ่ชู้หรือกิ๊กก็จะอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน   หากเป็นข้าราชการฝ่ายชายก็จะนิยมมีเมียน้อย มีกิ๊กที่เป็นหญิงสาววัยอ่อนกว่ามาก   ที่น่าสนใจคือ ข้าราชการหญิงที่มาอายุในวัยใกล้เกษียณ ก็มักคบผู้ชายเด็กกว่า ซุกซ่อนในสำนักงาน  คอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้เงินทุกอย่าง กลับบ้านดึกๆ ออกนอกบ้านไปงานนู้น งานนี้ตลอด   เมื่อเป็นเช่นนี้สามีของเขาก็เกิดความหวาดระแวงให้ตามสืบ เรียกว่า ต่างคนต่างสงสัย พอๆกัน ก้าวออกจากบ้านไป ก็ไว้ใจใครกันไม่ได้เลย

วิธีการ "สืบ" ของพี่อำนวยพรนั้น เธอเผยว่า  ทำกันเป็นทีมงานมีหลายคน ตามสืบหลายเรื่อง   หลากรูปแบบ ซึ่งตัวหลักก็จะเป็นตัวเธอเอง  เริ่มต้นมาจากที่มีผู้มาใช้บริการที่มีปัญหาในความสัมพันธ์โทรมาคุยก่อน  หรือเข้ามาหาที่สำนักงานเลย เมื่อคุยตกลงแล้ว เขาก็จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคู่รักเขาเองว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำงานที่ไหน ไปที่ใดบ่อย ตารางเวลาในการไปนู่นมานี่เป็นอย่างไร บอกเล่ารูปพรรณสัณฐาน เอารูปมาให้ดู เป็นต้น ที่สำคัญต้องดูว่า เขามีเรื่องตบตี หรือตามสืบกันมาเองก่อนหน้านี้หรือเปล่า   จากนั้นทางเราก็จะมีการวางแผนก่อน ว่าจะเริ่มตาม เริ่มสืบจากตรงไหน ก็จะจัดคนให้เหมาะกับการตามสืบในเรื่องนั้นๆ ว่าทีมงานคนนั้น คนนี้ ถนัดในรูปแบบไหน ซึ่งบางครั้งมันต้องมีการปลอมตัว มีอุปกรณ์ในการสืบหลากหลายไป ที่ขาดไม่ได้คือ กล้องถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง หรือวิดีโอ จีพีเอส   ต้องเลือกให้ต่างกันไปตามสถานการณ์ กล้องอาจจะเป็นกล้องตัวเล็ก กล้องรูเข็ม กล้องปากกา เครื่องอัด เครื่องดักฟัง

การตามสืบนั้นต้องมีการเตรียมพร้อม  เอาอุปกรณ์ไว้ตรงไหน เป้าหมายพิกัดที่ใด ต้องรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน มีปฏิภาณ ไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอด มีความพริ้วไหว คล่องแคล่ว   ขาดไม่ได้คือ ต้อง นิ่ง มีสติ ไม่วู่วาม หรือตื่นตระหนก ซึ่งทีมงานของเราก่อนเข้ามาทำตรงนี้ก็จะต้องได้รับการฝึกมาอย่างดี ถึงจะลงพื้นที่ปฏิบัติการตามสืบ
ลักฐานเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอประกอบได้ว่า บุคคลนั้นๆ มีชู้ มีกิ๊ก ซุกเมียน้อย ?

นักสืบสาวในวัย 42 ปี บอกว่า ก็ติดตามดูจากพฤติกรรมการแสดงออกกับคนที่เป้าหมายอยู่ด้วยนั่นล่ะ ถ้ามีการจับมือ ถือแขน กอดจูบ ลูบคลำ ไปกินข้าว ดูหนัง แสดงออกทางกายในลักษณะที่ไม่น่าจะใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันธรรมดาแน่ๆ  เราก็ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ แต่ในกรณีถ้าเขาไปด้วยกัน เรื่องการจดจำทะเบียนรถ หรือลู่ทางในการติดตาม ไปยังบ้าน คอนโด โรงแรม ก็ต้องวางแผนให้ดี แต่คงไม่ต้องถึงขนาดไปเจาะผนังเพื่อส่องดูว่าเขาทำอะไรกันหรอกนะ (หัวเราะ)

ใช่ว่า แต่เพียงคนไทยในแดนสยามทั้งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดเท่านั้นที่มาจ้าง พี่อำนวยพรให้สืบหาชู้ หากิ๊ก แต่ คนไทยในเมืองนอกก็มีจำนวนไม่น้อยที่ออนไลน์ สายตรงมาให้สืบหาความจริงเช่นกัน   นอกจากนี้ ยังมีคนต่างชาติมาใช้บริการไม่ได้หยุดหย่อน ซึ่งบางครั้งพี่อำนวยพรเองก็ต้องบินไปสืบถึงเมืองนอก เรียกว่า แอดวานซ์ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ "คุยกับนักสืบ"  ในเว็บไซต์www.decha.com ซึ่งเป็นของสำนักงานของเธอเอง ที่เปิดให้บุคคลมาพูดคุย ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่อันหลากหลายอีกด้วย
"จริงๆ งานแบบนี้ตื่นเต้น และสนุกมากนะ  โดยเฉพาะกับเคสที่ลูกค้าให้มาแต่รูปถ่ายสามี ที่เป็นภาพเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว คือมันลุ้น เวลาเราไปตามหาเป้าหมาย  ซึ่งเป็นบุคคลที่เราไม่เคยเห็นหน้า ต้องสังเกตรูปพรรณ สัณฐาน ลักษณะเฉพาะบุคคลนั้นๆให้ได้ จากรูปถ่ายเก่าๆ ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่ลูกค้าให้มาก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงซักทีเดียว เราก็ต้องพยายามตามสืบจนหาเป้าหมายและการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้  ต้องสังเกตหมด ทั้งรูปหน้า ใบหน้า ทรงผม  บุคคลิก การแต่งตัว ยิ่งชาวต่างชาตินี่ยากเลย เพราะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด แต่เราต้องสืบหาให้ได้ และเราก็จะลุ้นระทึกไปตลอด คนนั้นใช่มั้ย คนนี้ใช่มั้ย "

เห็นการตามสืบอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจังขนาดนี้ หลายคนคงอยากทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการ สืบชู้ ล่ากิ๊ก นี้ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ พี่กุ้งบอกว่า  ถ้าให้ตามสืบ ในระยะเวลา 7 วัน สนนราคาอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท หรือเฉลี่ยวันละ 5,000 บาท อันนี้เป็นกรณีการสืบติดตามพฤติกรรมแบบธรรมดาทั่วไป  ไม่ได้หวือหวามาก แต่ถ้าเป็นการสืบแบบที่ซับซ้อนมาก เนื่องจากเป้าหมายเป็นพวกที่ไม่ธรรมดา  มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีคนคุ้มกัน เข้าถึงตัวได้ยาก  ต้องมีการเตรียมการมาอย่างดี ใช้กำลังคนมาก ก็จะตกอยู่ที่ ราคา 3-4 หมื่นบาท ต่อวัน คือสาเหตุที่ต้องราคาสูงขนาดนี้ในการตามสืบ ก็เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เสี่ยงมากๆ  ไม่ค่อยมีคนทำกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความแยบยล ต้องไม่ทำให้ใครสงสัย จับได้ ไม่งั้นทุกอย่างจบ

"เราไม่ทำตัวว่ารู้มาก ให้ข้อมูลมาแค่ไหน ก็แค่นั้น บางคนที่ให้สืบสามี หรือภรรยา เขาไม่ได้มาคุยด้วยตัวเองตรงๆ  ใช้ให้คนอื่นมาคุยแทนก่อน  ซึ่งเขาอาจอายด้วยชื่อเสียง หน้าตาทางสังคม แต่พอต้องติดต่อกันมากขึ้น เขาก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน จรรยาบรรณของเราก็ไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผยอยู่แล้ว และไม่คิดจะไปละลาบละล้วงเรื่องอะไรของเขาด้วย การทำอาชีพนักสืบ ไม่เพียงแต่จะสืบสิ่งที่เขาอยากรู้เพียงเท่านั้นนะ หลายๆครั้งเรายังต้องเป็นที่ปรึกษา  คอยแก้ไขปัญหา เป็นศิราณีให้เขาอีกด้วย(หัวเราะ) บางคนก็โทรมาหา ปรึกษาเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในปัญหาชีวิตให้เราฟังมากกว่า บางครั้งไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ"
"สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้" สโลกแกนที่ พี่อำนวยพรตั้งไว้ เธอบอกว่า การสืบหากิ๊ก ไล่ล่าชู้นั้น เป็นการคลายเรื่องค้างคา ความสงสงสัยของคนที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เรื่องที่หาทางออก หรือลงมือด้วยตัวเองในการล่าหาความจริงไม่ได้ เขาจึงไว้วางใจนักสืบ ซึ่งก็มีหลายคนถามว่า การทำแบบนี้ จะทำให้คู่รัก ครอบครัวเขาแตกแยกหรือเปล่า แต่เมื่อตนมาเทียบกับกระแสตอบรับที่มีคนมาใช้บริการแล้วประสบความสำเร็จ ก็รู้ว่า การทำแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นการช่วยเหลือคนมากกว่า  ซึ่งการที่ตนตั้งสำนักงานตามสืบพวกชู้ พวกกิ๊ก เมียน้อยทั้งหลายแหล่แทนที่จะลดลง แต่เปล่าเลย พบว่า ปัจจุบันคนนอกใจคู่ของตนเองกลับเพิ่มมากขึ้นในปริมาณมาก

"ไม่รู้ว่า เป็นเพราะโลกมันจะวิบัติ โลกจะแตกหรือเปล่านะ คน 2 คนคุยกันไม่รู้เรื่อง   ความซื่อสัตย์ต่อคนรักก็ลดน้อยลง บางครั้งคู่รักที่มีปัญหากันมันก็มาจากหลายๆ สาเหตุ เราไม่รู้ว่า เขามีปัญหาอะไรกัน  อีกอย่างการออกไปทำงานนอกบ้าน  ได้พบปะผู้คน เจอสังคมใหม่ๆ ความใกล้ชิด สนิทสนม ก็อาจทำให้จิตใจของคนเปลี่ยนแปลง พลั้งเผลอไปได้  บางคู่ไม่เข้าใจกัน ก็ไปหาคนอื่นที่คุยแล้วเข้าใจกันมากกว่า หาเพื่อนคุยแก้เหงา มันก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวตามมา ทั้งที่มีครอบครัวอยู่แล้ว "

มากน้อยเพียงใดที่ว่า ผู้ชายไทยเจ้าชู้ที่สุด

พี่กุ้งระบุว่า จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีความเจ้าชู้กันหมด  กระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ว่าใครจะแสดงออกมากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะแค่ผู้ชายไทย ชาติอื่นๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด ผู้หญิงก็เจ้าชู้ บางคนมีสามีเป็นตัวเป็นตน ก็มาจ้างให้สืบว่า กิ๊ก มีคนอื่นหรือเปล่าด้วยซ้ำ เป็นสืบซ้อนสืบ ผู้ชายมีอายุบางคน ประมาณ 80 ปี ก็มาจ้างให้สืบว่า บรรดากิ๊ก คบชายอื่นไหม เกิดความหึงหวงกันขึ้นมา ขณะที่ ผุ้หญิงอายุมากๆ 60 ปีขึ้นไป ก็มาจ้างให้สืบสามีตัวเอง ไปซุกอีหนูไว้ที่ไหนบ้าง เนื่องจากหวงสมบัติ จะเห็นได้ว่า พอคนเริ่มมีอายุ เริ่มแก่ จุดประสงค์ในการจ้างให้สืบมันต่างกันไป ก็แล้วแต่ความคิด ความต้องการของแต่ละคน 

"มาตรฐานจิตใจมันต่ำลงนะ ไม่ว่าจะศีลธรรม จริยธรรม  รวมถึงข้อกฎหมาย มันพูดยากเพราะปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เรานอกใจคู่ของตัวเอง มันก็โทษไม่ได้ทั้งหมดว่าใครผิด ใครถูก เราไม่ได้อยู่กับเขา เราไม่รู้ปัญหา  บางครั้ง เราก็อาจลืมมองตัวเองว่าเป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงไม่รักเรา เขาถึงเปลี่ยนไป หรือเราเปลี่ยนไปหาคนอื่น เพราะทุกคนก็มองอยู่ที่แค่ตัวเอง ปัญหามันเลยเกิดไม่หยุดไม่หย่อน"

เห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตามชู้  ปราบกิ๊ก เปิดโปงเมียน้อยแบบนี้แล้ว เมื่อถามถึงชีวิตคู่ของพี่อำนวยพรบ้าง ว่าเป็นอย่างไร เธอบอก "โสด"   ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้คบใคร  อาจเป็นด้วยว่า  พอมีคนมาเล่า มาปรึกษา มาให้ตามสืบเรื่องนู้น เรื่องนี้ รู้ปัญหาของคนอื่นไปเสียทุกเรื่องว่าเป็นอย่างไร  รู้มากไป มองคนได้ทะลุ ทำให้เธอเกิดความกลัวที่จะตกลงปลงใจฝากชีวิตไว้กับใครสักคนหนึ่ง
ปิดท้ายที่ว่า ทำงานแบบนี้ มีลูกค้ามาจีบบ้างไหม  อำนวยพรรับว่า มีเยอะแยะ บางคนถึงกับบอกว่า ไม่ต้องสืบให้แล้ว  เดี๋ยวเขาจะมาจีบเอง ซึ่งเธอก็ได้ปฏิเสธไปหลายราย ด้วยการทำงานตรงนี้ต้องระวังตัว และวางตัวดีเป็นพิเศษ เธอจะไม่ให้ความหวังใคร ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

"อยู่แบบนี้ไปดีที่สุด สบายใจกว่า ไม่ต้องมานั่งทุกข์ คิดมากกับใคร บางคนทำดีกับเรามากๆ ต่อหน้า แต่ลับหลังไม่ใช่ เหมือนใส่หน้ากากเข้าหากัน ชีวิตจริง มันไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชายที่เพอร์เฟค เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้ว่าจะรักกันไปตลอดกาลนานได้หรอก  เราต้องรักตัวเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ และนั่น จะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด" 

ด้วยเหตุฉะนี้ ท่าทางคงจะเป็นเรื่องจริงที่ นักสืบสาว อำนวยพร กล่าวกับเอเอฟพีว่า "คนที่สามารถเชื่อถือได้คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น ถ้ายังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ อย่าได้ไปเชื่อพวกเขาเป็นอันขาด"

ที่มา : มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น